รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ อาจหาญศิริ

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ อาจหาญศิริ
(1
ตุลาคม พ.ศ. 2552 – 30 กันยายน พ.ศ. 2556)

 

pic14สาขารังสีวิทยาวินิจฉัย

ในปี พ.ศ. 2552 มีการจัดซื้อทดแทนระบบ PACS เดิม รวมทั้งได้จัดซื้อระบบ RIS (Radiology Information System) เพิ่มเติมและขยายงานการจัดการภาพทางการแพทย์ให้ครอบคลุมทั้งภายในฝ่ายรังสีวิทยาและภายนอกฝ่าย รังสีวิทยา โดยได้ทำการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่อาคารนราธิปพงศ์ประพันธ์ – สุพิณ ชั้น 2 โดยระบบเดิมที่ ติดตั้งที่อาคารจุลจักรพงษ์ ชั้น 4 ยังคงถูกใช้งานในสถานะ back up

ในปี พ.ศ. 2553 สาขารังสีวิทยาวินิจฉัยได้รับงบประมาณและพัฒนางานทางรังสีวิทยาวินิจฉัยมีรายละเอียด ดังนี้

  • ได้รับงบประมาณไทยเข้มแข็งจากรัฐบาลและงบประมาณอื่นๆ ในการจัดซื้อเครื่องอัลตราซาวนด์  จำนวน 8 เครื่อง (ซึ่ง 6 เครื่องใช้งานอยู่ในสาขาฯและอีก 2 เครื่องอยู่ที่หน่วยฉุกเฉินและหน่วยโรคไตอายุรกรรม)
  •  มีการจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิทัลจำนวน 4 เครื่อง
  • ทำการติดตั้งและใช้งานเครื่อง MRI 3 Tesla เพิ่มเติมอีก 1 เครื่องที่อาคารอภันตรีปชา ชั้น 1
  • ทำการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด 320 detector-rows (640 slices) เพื่อทดแทนเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด 4 detector-rows ที่อาคารจุลจักรพงษ์ ชั้น 1

ในปี พ.ศ. 2554 สาขารังสีวิทยาวินิจฉัยได้รับงบประมาณและมีการพัฒนางานทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัย ดังนี้

  • ทำการติดตั้งเครื่องตรวจเต้านมด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (dedicated MRI) จำนวน 1 เครื่อง ที่หน่วยเอกซเรย์เต้านม อาคารล้วน – เพิ่มพูล ว่องวานิช ชั้น 2
  • จัดซื้อชุดรับและแปลงสัญญาณภาพเป็นระบบดิจิทัลชนิด flat panel detector kit เข้ามาใช้ งานเสริมในระบบ computed radiography ทั้งที่หน่วยงานเอกซเรย์ผู้ป่วยในและผู้ป่วยฉุกเฉิน
  • ทำการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องอัลตราซาวนด์จำนวน 2 เครื่อง เพื่อทดแทนเครื่องเดิมที่อาคารภปร. ชั้น 4
  • จัดซื้อเครื่องสแกนฟิล์มทั่วไปเพื่อสแกนฟิล์มที่ยังไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ PACS จำนวน 2 เครื่อง
  • จัดซื้อเครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดระบบดิจิทัลชนิดระนาบเดี่ยว (Siemens รุ่น Artis zee)  เพื่อทดแทนเครื่องเดิมที่ใช้ในอาคารนราธิปพงศ์ประพันธ์ – สุพิณ ชั้น 1 ซึ่งได้ใช้งานมานานมากกว่า 15 ปี โดยเครื่องเอกซเรย์เครื่องใหม่นี้สามารถสร้างภาพ 3 มิติได้เสมือนภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

ในปี พ.ศ. 2555 สาขารังสีวิทยาวินิจฉัยได้รับงบประมาณและมีการพัฒนางานทางรังสีวิทยาวินิจฉัย ดังนี้

  • ทำการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิด 64 detector rows ซึ่งเป็นเครื่องร่วมทุนกับบริษัทเอกชน เพื่อการให้บริการผู้ป่วยที่ห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วยในบริเวณใกล้เคียง
  • ทำการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์และฟลูออโรสโคปีระบบดิจิทัล (Digital Fluoroscopy and Radiography) ที่ใช้ CCD camera เป็นอุปกรณ์รับภาพจำนวน 1 เครื่อง ที่อาคาร ภปร. ชั้น 4 เพื่อทดแทนเครื่องเก่าที่อุปกรณ์รับภาพเป็นระบบ image intensifier ที่ใช้งานมานานมากกว่า 10 ปี
  • จัดซื้อเครื่องอัลตราซาวนด์โดยใช้เงินงบประมาณจากรัฐบาล (ไทยเข้มแข็ง) จำนวน 4 เครื่อง โดยจัดสรรให้ไปใช้งานที่หน่วยเอกซเรย์ อาคาร ภปร. ชั้น 4, อาคาร สก. ชั้น 4, อาคารสวัสดิ์ – ล้อมฯ ชั้น 1 และอาคาร  ล้วน – เพิ่มพูล ว่องวานิช ชั้น 2

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2556 เริ่มมีการขยายงานด้านการตรวจทางรังสีวิทยาวินิจฉัยที่ชั้น 1 อาคาร 14 ชั้น ติดกับ อาคารนวมินทร์ฯ โดยเริ่มเปิดให้บริการการตรวจทางด้าน MRI ก่อนเป็นอันดับแรกด้วยเครื่อง MRI 1.5 Tesla จำนวน 2 เครื่อง โดยเครื่อง MRI เครื่องหนึ่งเป็นเครื่อง MRI ที่ให้บริการทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัย และอีกเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ ร่วมกับสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ซึ่งเป็นเครื่อง MRI ที่สามารถจำลองการฉายรังสีเพื่อการรักษา หลังจากนั้นไม่นาน จึงเริ่มเปิดการให้บริการการตรวจทางด้านเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จำนวน 1 เครื่องซึ่งเป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่มีความโดดเด่นทางด้านการลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ การตรวจโดยใช้เทคโนโลยี dual energy ซึ่งมีประโยชน์ใน การใช้วิเคราะห์ชนิดของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ การศึกษาด้าน perfusion การศึกษาโรคเกาต์ นอกจากนี้ยัง สามารถใช้ในการลด artifact ที่เกิดจากการใส่ prosthesis ในผู้ป่วย ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันได้เริ่มขยายโครงข่าย แบบไร้สายของระบบ PACS และ RIS ที่ครอบคลุมอาณาบริเวณหอผู้ป่วยอาคาร ภปร. และอาคาร สก. ทั้งหมด

ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2556 งานด้านการตรวจทางรังสีวิทยาวินิจฉัยที่ชั้น 1 อาคาร 14 ชั้นได้เปิดให้บริการทาง ด้านการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์และฟลูออโรสโคปีระบบดิจิทัล (Digital Fluoroscopy and Radiography) ที่ใช้ flat panel detector จำนวน 1 เครื่อง เครื่องเอกซเรย์เต้านมระบบดิจิทัล (Full-field digital mammography) จำนวน 1 เครื่อง และเครื่องตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงชนิดสี (Color-Doppler Ultrasound) จำนวน 4 เครื่องและในช่วงระยะ เวลาใกล้เคียงกันยังได้ทำการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์ระบบดิจิทัลเพื่อใช้ในการตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ (Excretory Urography) เพื่อทดแทนเครื่องเก่าที่เป็นระบบแอนะล็อกที่ใช้งานมานานตั้งแต่เมื่อครั้งเปิดอาคาร ภปร. เมื่อปี พ.ศ. 2532 และได้ทำการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์และฟลูออโรสโคปีระบบดิจิทัล (Digital Fluoroscopy and Radiography) ที่ใช้ flat panel detector จำนวน 1 เครื่อง ที่อาคาร ภปร. ชั้น 4 เพื่อทดแทนเครื่องเก่าที่เป็นระบบ image intensifier ที่ใช้งานมานานมากกว่า 10 ปี และนอกจากนี้ยังได้จัดซื้อชุดรับและแปลงสัญญาณภาพเป็นระบบดิจิทัลชนิด flat panel detector kit เข้ามาใช้งาน เพื่อเสริมระบบ Computed Radiography ที่หน่วยงานเอกซเรย์เคลื่อนที่ในหอผู้ป่วยจำนวน 4 ชุด

สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา

ในปี พ.ศ. 2552 มีการเปลี่ยนเครื่องใส่แร่อัตราปริมาณรังสีสูงอิริเดียม 192 เป็นเครื่องใส่แร่แบบ 3 มิติ

ในปี พ.ศ. 2552 – 2553 มีการเปลี่ยนเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องแรก (Clinac 1800) เป็นเครื่องเร่ง อนุภาคแบบปรับความเข้ม 1,000 องศา (Rapid Arc) พร้อมระบบภาพนำวิถีแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ

  • มีการเปลี่ยนระบบเครือข่ายของระบบเครื่องฉายรังสีให้เป็นรุ่นล่าสุด
  • ทำการเพิ่มเครื่องวางแผนการรักษาจากเดิมจำนวน 2 เครื่องเป็น 6 เครื่อง ซึ่งเครื่องดังกล่าว สามารถคำนวณปริมาณรังสีเทคนิค ปรับความเข้มและปรับความเข้มหมุนรอบตัว
  • ทำการ Upgrade 4 D gating
  • ทำการ Upgrade เครื่อง Portal imaging ในเครื่องเร่งอนุภาคทั้ง 2 เครื่อง (Clinac 21 EX และ Clinac 23 EX)
  • มีการเพิ่ม Digital shape projector ในเครื่องจำลองการฉายรังสี (Simulator)

ในปี พ.ศ. 2554 ได้มีการพัฒนาดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

  •  ปรับปรุงเครื่องเร่งอนุภาคแบบ 4 มิติ (Clinac 23 EX) โดยเพิ่มระบบภาพนำวิถีด้วยเอกซเรย์พร้อม โปรแกรมการฉายรังสีแบบปรับความเข้มรอบตัวผู้ป่วย
  • ทำการเพิ่มเครื่องวางแผนการรักษาจากเดิมจำนวน 6 เครื่องเป็น 8 เครื่อง
  • ทำการติดตั้งเครื่องจำลองการฉายรังสีด้วยเรื่องสร้างภาพด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging Simulator)

ในปี พ.ศ. 2555 ได้มีการพัฒนาดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

  • ทำการรื้อถอนและจำหน่ายเครื่องโคบอลต์ทั้งหมด
  • ทำการติดตั้งเครื่องตรวจอวัยวะภายในด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) เพื่อใช้ประกอบ การใส่แร่
  • จัดหาโปรแกรมที่พัฒนาการคำนวณปริมาณรังสีแบบ 3 มิติ เพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดใกล้แบบ 3 มิติ
  • จัดซื้อเครื่องมือสอดใส่แร่เพิ่มขึ้น

ในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการพัฒนาดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

  • ทำการติดตั้งเครื่องจำลองการฉายรังสีด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก ที่อาคาร 14 ชั้น ติดกับอาคารนวมินทร์ฯ
  • ทำการติดตั้งเตียงผ่าตัดเพื่อใช้ในการใส่แร่มะเร็งต่อมลูกหมาก ที่อาคารล้วน – เพิ่มพูล ว่องวานิช ชั้น 3
  • ทำการปรับปรุงอาคารอับดุลราฮิมเพื่อใส่เครื่องเร่งอนุภาค 3 เครื่อง และเครื่อง CT Simulator จำนวน 1 เครื่อง
  • ทำการติดตั้งเครื่องฉายรังสีชนิด Unflat beam จำนวน 1 เครื่อง และชนิด Unflat beam ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ในการทำ Stereotactic Radiosurgery และ Stereotactic  Radiotherapy จำนวน 1 เครื่อง และเครื่องฉายรังสีปรับความเข้มแบบหมุนรอบตัว (1,000 องศา) จำนวน 1 เครื่อง

สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์

ในปี พ.ศ. 2552 มีการจัดซื้อเครื่อง SPECT-CT (Single Photon Emission Computed Tomography- Computed Tomography) เพื่อทดแทนเครื่อง SPECT เครื่องแรกที่ใช้งานมานานถึง 21 ปี โดยเครื่อง SPECT-CT นี้ทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคสาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์มีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ในปี พ.ศ. 2554 มีการจัดซื้อเครื่องตรวจความหนาแน่นของกระดูกโดยใช้รังสีเอกซ์เครื่องที่ 5 เพื่อทดแทน เครื่องที่ 3 ที่หมดอายุการใช้งาน โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนเวชศาสตร์นิวเคลียร์